ประวัติ พระอธิการสำรวม สิริภทฺโท
ชาติภูมิ เกิดวันที่ ๔ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๘๔ ตรงกับวันศุกร์ ขึ้น ๑๑ ค่ำ เดือน ๘ ปีมะเส็ง
ณ บ้านเลขที่ ๑๘๘ หมู่ ๕ ต.หนองผักนาก อ.สามชุก จ.สุพรรณบุรี
บิดาชื่อ นายสุ่ม สว่างศรี มารดาชื่อ นางส้มลิ้ม สว่างศรี
อุปสมบท วันที่ ๕ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๑๑ เวลา ๑๑.๐๑ น. ณ วัดหนองผักนาก อ.สามชุก จ.สุพรรณบุรี
โดยมีพระครูสุธรรมสถิต เป็นพระอุปัชฌาย์ ใบสุทธิเลขที่ ๒๐/๒๕๒๑ (พระครูสุธรรมสถิต)
การศึกษา ทางโลก ป. ๔ (ร.ร.สว่างศรีราษฎร์อุทิศ) ปี ๒๔๙๕
ทางธรรม นธ.โท ปี ๒๕๑๙
ดำรงตำแหน่ง เจ้าอาวาส วัดไกลกังวล ตั้งแต่ วันที่ ๒๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๓ ถึง ปัจจุบัน (ตราตั้งเลขที่ ๑๒/๒๕๔๓)
คติประจำใจ อย่าเชื่อใจ อย่าตามใจ อย่าปล่อยใจ
อุปสมบท ครั้งแรก
ท่านกราบขออนุญาตจากบิดามารดา ลาอุปสมบท เพื่อทดแทนบุญคุณตามประเพณี เมื่อเดือนเมษายน ๒๕๐๔ ปีฉลู ณ วัดหนองผักนาก อำเภอสามชุก จังหวัดสุพรรณบุรี โดยมีพระครูกริ่ง เจ้าคณะอำเภอสามชุกเป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านเอาจริงเอาจังกับการบวช ท่านได้บอกกับเจ้าอาวาสไว้แล้วว่า พอบวชแล้วจะไม่ขออยู่ที่วัดนั้น จะขออยู่แค่เดือนเดียว แล้วจะย้ายไปอยู่วัดร้างข้างบ้าน (วัดทุ่งสามัคคีธรรม) เนื่องจากหลวงพ่อใหญ่ (หลวงพ่อสังวาลย์ เขมโก) ได้มาจำพรรษาอยู่ที่วัดนี้แล้ว โดยปลูกกุฏิหลังคามุงสังกะสีเล็ก ๆ อยู่ เป็นวัดร้าง ไม่มีโบสถ์ ไม่มีวิหาร แต่เจ้าอาวาสวัดหนองผักนากไม่อนุญาตให้ไป
เนื่องจากพระสำรวม สิริภัทโท เป็นภิกษุผู้มีความเอาใจใส่ดูแลครูบาอาจารย์เป็นอย่างดี ต้มน้ำชงน้ำชา คอยปรนนิบัติถวายเป็นอย่างดี ทั้งดูแลงานวัดก็มิเคยบกพร่อง น้ำท่าตักหามาใส่จนเต็มตุ่ม ไม่ว่างเว้นเลย
ทำทุกอย่างเสมอต้นเสมอปลาย จนในที่สุดเจ้าอาวาสวัดหนองผักนาก จึงอนุญาตให้ไปจำพรรษาอยู่ที่วัดร้าง อยู่ได้ ๘ เดือนก็ต้องลาสิกขา เพราะเป็นห่วงโยมบิดามารดาจะลำบากไม่มีคนคอยดูแลเอาใจใส่
หลวงพ่อสำรวมท่านเคยเป็นผู้รับเหมาใหญ่ หลังจากสิกขาลาเพศมาแล้ว ก็กลับมาทำโครงการสร้างอ่างเก็บน้ำลำตะคอง จังหวัดนครราชสีมา วันหนึ่งท่านได้นั่งอยู่ริมห้วย น้ำไหลเหมือนวันก่อน ๆ ในตอนเย็น ลูกน้องก็นั่งจับกลุ่มคุยกันไปตามเรื่องของเขา แต่ท่านนั่งมองน้ำไหลริน เห็นปลาตัวเล็ก ๆ มันว่ายสวนน้ำขึ้นไป ส่วนปลาตัวใหญ่หน่อยก็ต้องตะแคงตัว เอาหางถีบตีน้ำเสือกตัวไปกัน ตัวแล้วตัวเล่า ท่านนั่งน้ำตาคลอหน่วย ท่านว่าสัตว์ในโลกมันเหมือนเรา ปลามันว่ายดิ้นไปนั้น โพยภัยอันตรายมันจะมาถึงตัวเมื่อไหร่ จะตายเมื่อไหร่ ถ้าเราเป็นพรานปลา ถามว่าพวกที่กำลังว่ายอยู่นี้จะรอดไหม มันจะไปถึงสิ่งที่มันคาดหวังเอาไว้ไหม ไม่เลยมันไปเข้าหม้อต้มหม้อแกงหมด แต่นั่นไม่เท่าไหร่ มันเป็นสัตว์เดรัจฉาน ส่วนเราสิ เป็นคน ทนสู้หาความสุข !!
พลัดถิ่นฐานบ้านช่อง หวังว่ามันจะดีกว่าเดิม คิดจะเลี้ยงพ่อแม่ แต่ก็ไม่ได้เลี้ยงท่านเลย ความสุขเล่าอยู่ที่ไหน ?
จะถึงเมื่อไหร่ มันเป็นเรื่องเปล่า ๆ ปลี้ ๆ ทั้งนั้น จะตายเมื่อไหร่ก็ไม่อาจรู้ได้ นั่นคือ เราเอง เราเองที่กำลังทำเหมือนคนทั้งหลายทำกัน แล้วมันก็ไม่ถึงแม้เงาของความฝัน เราทำในสิ่งที่เดินไปสู่ภาระผูกพัน หาเครื่องรัดรึงให้ตัวให้ใจเราเอง ยิ่งมากยิ่งทุกข์ เราคือคนโง่ ที่คิดว่าเราเก่ง ท่านพิจารณาแล้วสังเวชตัวเองอย่างมาก ท่านนั่งน้ำตาซึม !!
ไม่มีใครรู้ว่าท่านกำลังคิดจะทำอย่างไรกับชีวิตท่าน เพราะเวลาทำงานท่านก็ทำเหมือนเคย ไม่เคยแสดงความท้ออะไรให้ใครเห็นเลย ท่านเกิดความเบื่อหน่ายทางโลกมาก ในใจนั้นนึกอยากจะบวชอยู่ตลอดเวลา ตอนนั้นตั้งแคมป์อยู่หน้าบริษัท ทุกวันเวลาที่ท่านอาบน้ำล้างมือ ท่านก็จะพูดกับลูกน้องว่า " วันนี้ล้างมือ
วันหน้าจะไปล้างใจ " บอกอยู่ทุก ๆ วัน ทั้งที่ยังหนุ่มยังแน่น หน้าตาดีบุคลิกดี แถมยังเป็นเจ้าของธุรกิจทีทำเงินได้เป็นร้อยล้าน ในสมัยนั้นก๋วยเตี๋ยวชามละหกสลึง ทองบาทละ ๔๐๐ บาท เศรษฐีหนุ่มเนื้อหอม เป็นชายแท้สูตรสำเร็จ ถ้าพูดกันเป็นเรื่องหนังสือ ก็เรียกว่าหนังสือดีมีครบทุกรสแต่ท่านยังคับแค้นใจยิ่งนักในการเป็นฆราวาสไม่มีโอกาสทำกุศลได้สะดวกครอบครัวเป็นอุปสรรคต่อการแสวงบุญ เนื่องจากปรารถนาในอมฤตธรรม คือ พระนิพพาน จึงไม่เลือกการใช้ชีวิตทางโลก
ตอนนั้นงานสร้างอ่างเก็บน้ำลำตะคอง ยังไม่ทันเสร็จ วันที่ ๔ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๑๑ ตอนเช้า
ท่านได้รับจดหมายจากคุณแล ว่า ได้รับเลือกให้เป็นผู้รับเหมาก่อสร้าง งานโครงการสร้างอ่างเก็บน้ำ ที่อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี ท่านก็คิดว่าถ้ารับงานใหม่นี้ ก็จะต้องทำงานหนักไม่จบไม่สิ้น ทั้งยังต้องเป็นหนังหน้าไฟ วิ่งไปวิ่งมาระหว่าง โคราช - อุบล ฯ แถมยังต้องกู้เงินอีกเป็นร้อยล้าน แล้วเมื่อใดจึงจะจบสิ้น จึงจะหลุดออกจากธุรกิจมาบวชได้ พอท่านอ่านจดหมายจบก็พับจดหมายใส่กระเป๋าเสื้อ แล้วบอกตัวเอง ถามใจตัวเองว่า " กายนี้มันเป็นของใคร " มันก็ตอบว่าตามสมมุติมันเป็นของเรา แล้วใจล่ะ ! เป็นของใคร มันก็ตอบตามสมมุติว่ามันเป็นของเรา ถ้าเช่นนี้มันก็คือชีวิตของเรา คือ สิทธิของตัวเรา เพียงเท่านั้น ท่านก็จับรถจากโคราชเข้ากรุงเทพเลย ถึงกรุงเทพฯเข้าบ้าน เก็บของใช้นิดหน่อย ตีรถเข้าเสาชิงช้าไปซื้อเครื่องบวชเลย แล้วก็ไปฟังธรรมกับครูบาอาจารย์ที่ วัดอาวุธวิกสิตาราม จึงจะตีรถกลับบ้านเกิดที่จังหวัดสุพรรณบุรี ขณะเดียวกันนั้น คุณแล สว่างศรี ก็รับรู้การลาบวช จากจดหมายที่ท่านเขียนทิ้งไว้ที่บริษัทอ่างเก็บน้ำลำตะคอง คุณแลรู้สึกตกใจเป็นอย่างมากนึกคิดไปสารพัดว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับน้องคนเล็กหรือเปล่า ก็ติดตามมาพบกันที่บ้านหนองผักนากแล้วซักไซ้จนละเอียด ทีแรกคิดว่าท่านมีปัญหากับครอบครัวคุณแลเองหรือไม่ เช่น ขัดคอกับพี่สะใภ้ ก็ไม่ใช่เช่นกัน ทุกอย่างไม่ได้สร้างปัญหาให้ท่านขัดข้องเลย
คุณแลก็ขอร้องให้อยู่ก่อนเพื่อแบ่งหุ้นส่วน เอาไปหนึ่งในสามแล้วค่อยบวช ท่านก็ปฏิเสธสมบัติอื่น ๆ ทุกชิ้นไม่ต้องการ ต้องการบวชอย่างเดียว เพราะได้บริขาร ๘ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ส่วนสร้อยคอ พระเลี่ยมทองต่าง ๆ ทั้งปืนสั้น ๒ กระบอก (ขนาด ๗ มม.และ ๑๑ มม.) ยกให้เลยพร้อมทั้งที่ดิน ๒,๐๐๐ ไร่ที่ อ.กำแพงแสนก็ยกให้ทั้งหมด ฉะนั้นใครเห็นด้วยไม่เห็นด้วยก็ตามที จะต้องบวชแล้วท่านตั้งมั่นขนาดนี้ พี่รู้ใจน้องดีว่าคิดอะไร ทำอะไรไม่จริงไม่มี แต่ที่ว่ามาไม่ใช่ทัดทาน เพียงแต่อยากจะให้ทำทุกอย่างให้เรียบร้อย จะได้กันข้อครหาในภายหลัง
ท่ามกลางความมืดมิดของคืนวันที่ ๔ พฤษภาคม ๒๕๑๑ ท่านก็ได้กลับบ้านเกิดที่จังหวัดสุพรรณบุรี พร้อมเครื่องบวช เพื่อมากราบขออนุญาตลาบวชจากบิดามารดา ในตอนนั้นทุกคนในบ้านหลับกันหมด ไม่มีใครรู้ว่าท่านกลับมาถึงบ้านแล้ว อรุณวันใหม่เริ่มแสงประกายขึ้นแล้ว เหมือนแสงแห่งพระธรรม
ที่สาดส่องเข้ามายังครอบครัวสว่างศรี และพุทธศาสนิกชนทั้งหลายสืบต่อไป
อุปสมบทครั้งที่ ๒
ครั้งนี้ท่านบวชเพื่อหนีทุกข์ ตั้งใจแล้วว่าไม่สึก สละชีวิตเพื่อค้นหาพระสัทธรรมตอนนั้นคุณแม้ส้มลิ้มเสียใจมาก เนื่องจากความรักลูกจนลืมนึกไปว่า สิ่งนี้จะเป็นคุณอนันต์ต่อลูกชายตนเองและต่อพุทธศาสนิกชนทั้งปวงในอนาคต รุ่งเช้าวันที่ ๕ พฤษภาคม ๒๕๑๑ ท่านได้พาพ่อสุ่มเดินทางไปหาท่านพระครูสุธรรมสถิต เพื่อให้ทำการบรรพชาอุปสมบทให้ แล้วจึงไปพำนักปฏิบัติธรรมที่ วัดไกลกังวล ตำบลบ้านเชี่ยน อำเภอหันคา จังหวัดชัยนาท
โยมแม่ส้มลิ้มเสียใจมากไม่ยอมกินข้าวถึง ๗ วัน ลูกทุกคนต่างเป็นห่วง กลัวแม่ส้มลิ้ม จะตายต้องช่วยกันปลอบใจ ตอนนั้นท่านมีใจเด็ดเดี่ยวแรงกล้าต่อการอุปสมบท ท่านถามใจตัวเองว่า หากโยมแม่ท่านตาย ท่านจะบาปหรือไม่ ใจท่านเองก็ตอบว่า ไม่บาป เพราะท่านมิได้ทำให้โยมแม่ตาย โยมแม่ไม่ยอมกินข้าวโยมแม่กำลังทำร้ายตัวเอง ส่วนท่านนั้ต้องการศึกษาพระธรรม มิได้ทำชั่ว ผู้รู้ทั้งหลายย่อมจะสรรเสริญในการกระทำของท่าน ถ้าหากท่านทำความชั่วให้เสื่อมเสียถึงวงศ์ตระกูล หากโยมแม่จะต้องเสียใจจนตาย อันนี้บาป ท่านคิดกว่าหากโยมแม่ไม่ยอมเข้าใจก็จะหนีไปให้ไกลจากหมู่ญาติ ไม่ออกบิณฑบาต จะไม่ให้ใครรู้ว่าท่านอยู่ที่ไหน ให้เหมือนดั่งตายจากทุก ๆ คนไปแล้ว ขณะนั้นท่านยังอยู่ที่วัดทุ่งสามัคคีธรรม ตำบลหนองผักนาก อำเภอสามชุก จังหวัดสุพรรณบุรี ที่ตั้งของวัดอยู่ใกล้บ้าน ท่านได้ไปตักเตือนให้สติโยมแม่ โยมแม่เริ่มทำใจได้และเข้าใจในเหตุและผล จึงยอมกินข้าว คำว่ายอมกินข้าวนั้นเป็นคำกล่าวแบบให้เห็นกิริยาประจำวันทางกาย แต่อันที่จริงนั่นเป็นเรื่องของใจ ใจเป็นนายกายเป็นบ่าว มากกว่า เพราะทำใจไม่ได้ เห็นลูกชายมีกิจการงานที่ดี ร่ำรวยกะว่าจะเป็นที่พึ่งฝากผีฝากไข้ได้ แต่อยู่ ๆ กลับมาบวชไม่สึก เลยเสียใจอย่างมากกินไม่ได้นอนไม่หลับ มันไม่หิวเหมือนมีอะไรมาจุกคอหอยอย่างนั้นเลยทีเดียว เมื่อหลวงพ่อพูดสัจจะจากใจและความเป็นจริงของชีวิตเอนกประการพอเข้าใจโล่งใจสบายใจเท่านั้น ความหิวความอยากก็เกิดขึ้นเป็นธรรมดา เพราะร่างกายต้องมีอาหารเป็นเครื่องดำเนินไปเป็นธรรมดา ท่านจึงอยู่ที่วัดทุ่ง ฯ อีก ๗ วัน รวมทั้งสิ้น ๑๕ วัน เพื่อจะได้ใกล้ชิดและคอยเตือนสติโยมแม่จนสภาวะจิตใจของโยมแม่เข้มแข็ง
วันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๑๑ ปีวอก ทั้งโยมพ่อโยมแม่และพี่ ๆ ทุกคน ก็นิมนต์ท่านไปจำพรรษาที่วัดไกลกังวล เพื่อปฏิบัติธรรม โดยมีพระอาจารย์สังวาลย์ เขมโก (หลวงพ่อใหญ่) เป็นผู้ถ่ายทอดการปฏิบัติธรรม ซึ่งท่านก็เพิ่งจะมาอยู่ที่นั่นก่อนหลวงพ่อสำรวมได้เพียง ๑๐ เดือน เมื่อไปถึงวัดไกลกังวล ท่านก็กราบถวายตัวขอเป็นศิษย์ ชของหลวงพ่อสังวาลย์ มอบกายถวายชีวิตให้ท่านและปวารณาตัวว่า " เกล้ากระผมจะขอเชื่อฟังแต่คำสั่งสอนของครูบาอาจารย์อย่างเดียว เกล้ากระผมจะไม่ขอเชื่อใจตัวเองเลย " เมื่อได้ฟังเช่นนี้หลวงพ่อสังวาลย์ก็ยกมือขึ้นสาธุ และกล่าวว่า " ไม่เคยมีใครมาปวารณาตัวกับผมเช่นนี้เลย " และสิ่งนี้ก็เป็นหลักให้หลวงพ่อสำรวม สิริภัทโท ยึดถือมาตลอด ถ้าท่านคิดอะไรทำอะไรที่ไม่ตรงกับคำสอนของครูบาอาจารย์ ท่านก็จะไม่เชื่อใจตนเอง หลวงพ่อสังวาลย์ ได้เทศน์ให้ท่านฟังสั้น ๆ เพียง ๓ ประโยค คือ
๑. ปฏิบัติให้เห็นทุกข์ ในทุก ๆ อิริยาบถ
๒. กำหนดให้ได้ปัจจุบัน
๓. อิริยาบถทั้งสี่(ยืน เดิน นั่ง นอน) และอิริยาบถปลีกย่อย ล้วนแต่เป็นเครื่องปิดบังทุกข์ ไม่ให้ผู้ปฏิบัติเห็น หรือรู้จักทุกข์
ท่านฟังแล้วคิดว่า หากทำตามโอวาทเหล่านี้ได้ ก็สามารถพ้นทุกข์ได้แล้ว จึงปฏิบัติตามโอวาทนี้มาตลอด